บทที่ 2: เส้นทางของแสงเงา

เธอกลับไปยังห้องสมุดเก่า พยายามค้นหาเงาของวันวานในที่เดิม โต๊ะเดิม และหนังสือเดิม แต่ไม่มีแม้แต่ร่องรอยของเขา
จนวันหนึ่ง มินตราตัดสินใจไปที่สำนักงานของบรรณารักษ์ เพื่อถามข้อมูลเกี่ยวกับนักศึกษาปริญญาโทชื่อ “ธีร์”
บรรณารักษ์เปิดคอมพิวเตอร์ และพิมพ์ชื่อนั้นลงไป เงียบไปชั่วครู่ก่อนจะเงยหน้าขึ้น
“ไม่มีชื่อธีร์ในฐานข้อมูลนักศึกษานะคะ น้องแน่ใจว่าชื่อเขาเขียนแบบนี้ใช่ไหม”
มินตรารู้สึกเหมือนโลกทั้งใบสั่นไหว เธอพยักหน้าเบาๆ แล้วเดินออกจากห้องสมุด โดยไม่พูดอะไร
ถ้าเขาไม่ใช่นักศึกษา...แล้วเขาเป็นใคร?
เธอไม่ยอมแพ้ ในสมุดบันทึกของเธอมีโน้ตหลายแผ่นที่จดคำพูดของธีร์ไว้ รวมถึงชื่อหนังสือที่เขาเคยแนะนำหนึ่งเล่ม — “ปรัชญาแห่งการรอคอย” โดยนักเขียนนิรนาม
เธอตัดสินใจไปที่ร้านหนังสือเก่าบนถนนนิมมานฯ ที่เขาเคยพูดถึง
เสียงกระดิ่งหน้าประตูร้านดังขึ้นเบาๆ เมื่อเธอเดินเข้าไป ภายในร้านเงียบสงบ เต็มไปด้วยกลิ่นกระดาษเก่า
เจ้าของร้านเป็นชายชราในวัยเจ็ดสิบ ใส่แว่นตากรอบหนา มองเธออย่างใจดี
“มาหาอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า หนู?”
“หนูหาหนังสือชื่อ ปรัชญาแห่งการรอคอย ค่ะ”
ชายชราขมวดคิ้วเล็กน้อย “หนังสือเล่มนั้น...มีคนเดียวที่เคยซื้อไปเมื่อสองปีก่อน เป็นผู้ชายหนุ่มใส่แว่น สะพายกระเป๋าผ้า พูดน้อยๆ”
หัวใจมินตราเต้นแรง “เขาชื่อธีร์หรือเปล่าคะ?”
ชายชรานิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้า “ใช่ เขาบอกชื่อไว้อย่างนั้น…แต่ดูเศร้าๆ เหมือนมีอะไรในใจ”
“คุณลุงพอจำได้ไหมว่าเขาไปไหนหรืออยู่ที่ไหน?”
ชายชราหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งจากลิ้นชัก แล้วส่งให้เธอ
“วันนั้นเขาทิ้งที่อยู่ไว้ เผื่อมีหนังสือเข้ามาใหม่ ผมยังเก็บไว้อยู่ ลองไปดูสิ อาจช่วยได้”
มินตรารับมาอย่างเร็ว ขอบคุณด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ที่อยู่นั้นอยู่ในอำเภอแม่ริม ชานเมืองเชียงใหม่
วันรุ่งขึ้น มินตราเดินทางไปยังที่อยู่นั้น เป็นบ้านไม้เล็กๆ ท่ามกลางสวนดอกไม้ ด้านหน้ามีป้ายเล็กๆ เขียนว่า “บ้านพักฟื้นใจ”
หญิงวัยกลางคนที่ดูแลบ้านต้อนรับเธออย่างอบอุ่น
“มาหาใครหรือจ๊ะ?”
“หนูมาหาคุณธีร์ค่ะ”
เมื่อได้ยินชื่อ “ธีร์” หญิงคนนั้นเงียบไป สีหน้าสลดลงเล็กน้อย
“ธีร์...เคยอยู่ที่นี่ค่ะ แต่ตอนนี้ไม่อยู่แล้ว”
“เขา...ไปไหนแล้วเหรอคะ?”
หญิงคนนั้นถอนหายใจเบาๆ แล้วเชิญมินตราเข้าไปนั่ง
“ธีร์เป็นคนเงียบๆ มีอดีตที่หนักหนา เขาเคยประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ สูญเสียพ่อแม่ไปพร้อมกัน ตอนนั้นเขาช็อกมาก จิตใจแหลกสลาย ถูกส่งมาพักที่นี่ตามคำแนะนำของจิตแพทย์”
“เขาพยายามเยียวยาตัวเองด้วยการอ่านหนังสือ เขียนบทกวี บางวันเขาเงียบ บางวันเขายิ้ม...แต่ทุกอย่างยังคงเจ็บปวดในใจเขา”
มินตรานิ่งเงียบ ดวงตาเริ่มคลอด้วยน้ำตา เธอเข้าใจแล้วว่าทำไมธีร์ถึงมีแววตาเศร้าแบบนั้น
หญิงคนนั้นพูดต่อ “ประมาณสองเดือนก่อน เขาบอกว่าอยากลองกลับไปใช้ชีวิตตามปกติ อยากไปมหาวิทยาลัยอีกครั้ง แม้ไม่ได้เป็นนักศึกษาจริงๆ เขาแค่อยากอยู่ในที่ที่มีความรู้สึกสงบ...แล้วเขาก็หายไป ไม่ได้กลับมาอีกเลย”
หญิงคนนั้นลุกไปหยิบซองจดหมายจากลิ้นชัก แล้วส่งให้เธอ
“ก่อนเขาไป เขาทิ้งสิ่งนี้ไว้ บอกว่า...ถ้ามีผู้หญิงคนหนึ่งมาหาเขา ให้ยื่นจดหมายนี้ให้เธอ”
มือของมินตราสั่นเล็กน้อยขณะรับจดหมายนั้น ซองกระดาษเรียบๆ ไม่มีชื่อ มีเพียงลายมือว่า “ถึงเธอ ผู้เป็นแสง”
เธอเปิดจดหมายออก ช้าๆ...
มินตรา
ขอโทษที่ผมหายไป โดยไม่มีคำลา
ผมเคยกลัวความผูกพัน เพราะทุกคนที่ผมรัก...ล้วนจากผมไปทีละคน
แต่คุณ...กลับทำให้ผมอยากมีชีวิตอยู่ต่อ
ผมไม่กล้าบอกว่ารัก เพราะผมกลัวว่าคุณจะเป็นอีกคนที่ผมต้องสูญเสีย
หากคุณได้อ่านจดหมายนี้ แสดงว่าโชคชะตายังพาเราอยู่ใกล้กัน แม้ในระยะห่าง
ผมหวังว่าสักวันหนึ่ง เราจะได้พบกันอีก
และวันนั้น...ผมจะกล้าบอกคำที่ผมเก็บไว้ในใจเสมอมา
ธีร์
มินตราน้ำตาไหลเงียบๆ เธอกอดจดหมายนั้นไว้แนบอก
ถึงแม้เขาจะจากไปอีกครั้ง...แต่คราวนี้ เธอรู้แล้วว่าเขา “เคยอยู่จริง” ไม่ใช่แค่ภาพในหัวใจ